เมือง Leuven คือ เมืองหลวงของ Flemish Brabant อยู่ห่างจากกรุงบรัสเซลส์ประมาณ 25 กิโลเมตร เป็นเมืองหลวงที่มีขนาดใหญ่อันดับ 8 ของประเทศเบลเยี่ยม มีประชากรอาศัยอยู่ประมาณ 100,244 คน
เมือง Leuven เป็นที่รู้จักกันว่ามีมหาวิทยาลัยคาทอลิกที่เก่าแก่ที่สุดในประเทศเบลเยี่ยมตั้งอยู่ที่นี่
ชื่อว่า มหาวิทยาลัย Katholieke Universiteit Leuven ซึ่งที่นี่เค้าไม่ธรรมดา เพราะเป็นมหาวิทยาลัยที่ติด Top 100 ถูกจัดอันดับว่าดีที่สุดในโลก อื้อหือ
เรียกได้ว่าเป็นแหล่งรวมเหล่าเด็กหัวกะทิไว้เลยเลยล่ะค่ะ เมื่อเข้าไปในเขตมหาลัย
เราจะพบเห็นความใหญ่โตและความโอ่อ่าของอาคารที่เก่าแก่มากมาย
เปิดให้ผู้คนสามารถเข้าไปชมความงดงาม หรือไปเก็บรูปสวยๆ กลับบ้านได้ทุกวันเลยค่ะ
ถ้าใครแวะผ่านมาแถวๆนี้ อย่าลืมเข้าไปเที่ยวกัน
ถ้ามาเที่ยวที่เมือง Leuven สถานที่แรกๆ เลยที่นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่เลือกไป คือ The
Stadhuis (Town Hall) เป็นสถาปัตยกรรมสไตล์โกธิคที่มีความโดดเด่นและสวยงาม
ใช้เวลาในการก่อสร้างนานถึง 30 ปี รอบๆ
ตัวอาคารภายนอกถูกประดับด้วยรูปปั้นแกะสลักจำนวน 236 รูป ขอบอกว่าสวยงามมากก ไม่ว่าจะมาเที่ยวกลางวันหรือกลางคืน
ด้วยความสวยงามเหล่านี้ ทำให้ที่นี่กลายเป็นจุดหมายปลายทางของนักท่องเที่ยวหลายๆ
คนเลยล่ะค่ะ ถ้าชื่มชมความงดงามของ The Stadhuis เสร็จแล้ว เราสามารถเดินหาของอร่อยๆ กินต่อได้เลย เพราะบริเวณรอบๆ
อาคารจะรายล้อมไปด้วยร้านอาหารมากมาย ยิ่งบรรยากาศยามค่ำคืนนะคะ
บอกเลยว่าโรแมนติดสุดๆ
โบสถ์เซนต์ปีเตอร์ (St.Peter’s
Church) ก็เป็นอีกสถานที่ท่องเที่ยวที่พลาดไม่ได้เช่นกัน
ลักษณะเด่นของโบสถ์แห่งนี้ คือเป็นสถาปัตยกรรมสไตล์โกธิค
เสาโบสถ์กับตัวอาคารตั้งตรงสูง และหน้าต่างที่มีลักษณะปลายแหลม
ถ้าเข้าไปภายในโบสถ์ รับรองว่าจะต้องหลงใหลกับความสวยงามของที่นี่แน่นอน
นอกจากนี้โบสถ์เซนต์ปีเตอร์ยังเก็บสะสมภาพวาดที่มีชื่อเสียงอยู่หลายภาพ
แต่ในส่วนของจัดแสดงภาพวาดต้องจ่ายค่าเข้าชมด้วยนะคะ คนละ 3 ยูโร เปิดให้เข้าชมได้ทุกวัน เวลา 10.00 น. – 16.30 น.
เมืองแอนต์เวิร์ป (Antwerp) เป็นเมืองหลวงขนาดใหญ่อันดับ 2 รองจากกรุงบรัสเซลส์ มีประชากรกว่าครึ่งล้านคนอาศัยอยู่ที่นี่
เมืองแอนท์เวิร์ปเป็นที่รู้จักกันว่าเป็นศูนย์กลางการค้าเพชรระดับโลกกก ว้าวว
เพชรเกือบ 70% มีการซื้อขายกันที่เมืองแห่งนี้
นอกจากนี้ยังโดดเด่นทั้งเรื่องแฟชั่นแนวอาว็อง-การ์ด และสถาปัตยกรรมสไตล์โกธิคอีกด้วย
ถ้ามาเที่ยวที่นี่
ต้องไม่พลาดไปที่ตลาด Grote Markt คุณจะได้เพลิดเพลินไปกับช้อปปิ้งและแวะชิมขนมหวานแสนอร่อย
รวมทั้งร้านขายช็อคโกแลตอีกมากมาย หรือใครขี้เกียจเดิน
จะเลือกนั่งรับประทานอาหารอร่อยๆ ตามด้วยการจิบเบียร์ชิวๆ ชมบรรยากาศโดยรอบ
ก็เป็นอีกตัวเลือกที่น่าสนใจไม่แพ้กัน นอกจากตลาดแล้ว ความใหญ่โตของศาลากลาง
ซึ่งตั้งตระหง่านอยู่ทางทิศตะวันตกของ Grote Markt ก็เป็นสิ่งที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวได้มากมายเช่นกัน
เป็นสถาปัตยกรรมเรเนสซองส์ที่ผสมผสานสไตล์เฟลมิชเข้ากับอิตาเลียนได้อย่างลงตัว
ความสวยงามของสถาปัตยกรรมเหล่านี้ ยิ่งได้มาเห็นตอนยามพระอาทิตย์กำลังตกดิน
ประกอบด้วยแสงไฟส่องสว่างออกมาจากตัวอาคาร บอกเลยว่าเป็นบรรยากาศสุดแสนโรแมนติก
เหมาะกับการเดินเล่นหรือทานมื้อค่ำสำหรับคู่รักที่สุด
อีกสถานที่ที่มีผู้คนแวะเวียนไปเที่ยวกันไม่ขาดสายก็คือ
Cathedral
of Our Lady เป็นโบสถ์สไตล์โกธิคขนาดใหญ่ที่สูงที่สุดในประเทศเบลเยียม
เป็นที่เลื่องลือถึงถึงความงดงามที่ถูกประดับตกแต่งอย่างวิจิตรตระการตา
ไม่ว่าจะเป็นตัวโบสถ์ ซุ้มประตู รูปปั้น ทางเดิน เรียกได้ว่าทุกอย่างงดงามไร้ที่ติ
ด้านในมีจัดแสดงผลงานศิลปะของ Peter Paul Rubens ซึ่งเป็นศิลปินชื่อดัง ชาวแอนท์เวิร์ป
เปิดให้ผู้คนที่หลงไหลในงานศิลปะ สามารถเข้าไปชมกันได้
ความงดงามและความอลังการที่เล่ามาทั้งหมดนี้ ถ้าอยากรู้ว่าสมคำเล่าลือจริงๆ
หรือไม่ ต้องลองไปสัมผัสกันเองสักครั้ง
เมืองเกนต์ (Ghent) เป็นเมืองที่ผสมผสานระหว่างสถาปัตยกรรมสมัยใหม่และสถาปัตยกรรมในยุคกลางได้อย่างลงตัว
ไม่ว่าจะเป็นโบสถ์ อนุสาวรีย์ และพิพิธภัณฑ์
ที่ได้รับการอนุรักษ์ไว้เป็นอย่างดีตั้งแต่สมัยก่อน นอกจากนี้วิวทิวทัศน์ริมแม่น้ำ
Leie และ Scheldt ยังเป็นที่กล่าวขานว่าสวยงามราวภาพวาด
เที่ยวชม Belfry of
Ghent หอระฆังสูงตระหง่านเอกลักษณ์ของเมืองเกนต์
ถูกสร้างขึ้นตั้งแต่ต้นศตวรรษที่ 14 ในสมัยก่อนมีจุดประสงค์เพื่อใช้ในทางศาสนา
และเป็นหอสังเกตการณ์เท่านั้น แต่ต่อมาก็ได้มีการปรับเปลี่ยนให้มีบทบาทสำคัญต่อชาวเมืองมากขึ้น
ไม่ว่าจะเป็นการตีระฆังเพื่อประกาศการเปิดตลาด เตือนว่ามีการโจมตี และเพื่อบอกเวลา
ซึ่งเราจะได้ยินเสียงระฆังกว่า 50 ใบ ดังก้องพร้อมกัน
เป็นสิ่งที่น่าทึ่งมากค่ะ สำหรับเมืองนี้
สถานที่ท่องเที่ยวที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวได้มากมายอีกแห่งก็คือ
ปราสาท Gravensteen เป็น
ปราสาทที่เก่าแก่ที่สุดแห่งหนึ่งในแฟลนเดอร์
ตัวปราสาทถูกล้อมรอบด้วยกำแพงสูงและคูเมืองเพื่อป้องกันศัตรูในสมัยก่อน
สถานที่แห่งนี้เคยถูกใช้เป็นสำนักงานศาลและคุกมาก่อน
ปัจจุบันได้มีการดัดแปลงเป็นพิพิธภัณฑ์ ภายในจะมีการจัดแสดงอาวุธต่างๆ ที่เคยใช้ในสงคราม
และอุปกรณ์ที่ถูกใช้ในการทรมานนักโทษตอนอยู่ในคุก
ให้นักท่องเที่ยวได้ชมและศึกษาประวัติความเป็นมา ปราสาท Gravensteen
เปิดให้บริการทุกวัน เวลา 10.00 น. – 18.00 น.
ค่าเข้าชม
ผู้ใหญ่ 10 ยูโร
ผู้สูงอายุ 65 ปีขึ้นไป 7 ยูโร
นักเรียน/นักศึกษาอายุ 19 – 25 ปี 6 ยูโร
และฟรีสำหรับเด็กอายุต่ำกว่า 19 ปี
เมืองมงส์ (Mons) เป็นเมืองหลวงเล็กๆ ของมณฑลแอโน ในประเทศเบลเยียม
มีประชากรอาศัยอยู่ประมาณ 95,000 คน เท่านั้น
ตัวเลขเหล่านี้มีแนวโน้มว่าจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เนื่องจากในปี 2015 เมืองมงส์ได้มีการวางแผนเพื่อโปรโมทให้เป็นที่รู้จักมากยิ่งขึ้นในฐานะของเมืองแห่งศิลปและวัฒนธรรม
จนทำให้ปีนั้นเอง เมืองมงส์ได้รับเลือกเป็นเมืองหลวงทางวัฒนธรรมของยุโรปแค่ปีเดียวก็คว้ารางวัลไปอย่างง่ายดาย สุดยอดด
ส่วนสถานที่ยอดฮิตเมื่อมาเที่ยวเมืองมงส์
คือ Belfry of
Mons เป็นหอระฆังทรงสี่เหลี่ยม ผนังถูกสร้างด้วยอิฐจำนวน
459,000 ก้อน ภายในมีบันไดวนเชื่อมต่อแต่ละชั้น หอระฆังนี้มีความสูง 87 เมตร ข้างในมีระฆังแขวนเรียงรายถึง 49 ใบ
ที่นี่ถือว่าเป็นสถาปัตยกรรมสไตล์บาโรกที่ยังเหลืออยู่แห่งเดียวในเมืองนี้
จนได้รับยกย่องเป็นมรดกทางวัฒนธรรมโดยยูเนสโก เปิดให้เข้าชมได้ทุกวันอังคาร –
วันอาทิตย์ ตั้งแต่เวลา 10.00 น. – 18.00 น. ถ้าขึ้นไปบนสุดของหอระฆัง
เราจะสามารถมองเห็นวิวทิวทัศน์อันสวยงามของเมืองมงส์ได้ทั้งหมด
ทะเลสาบมินนีวอเตอร์ (Minnewater)
สัญลักษณ์ของเมืองบรูจส์ คือ หงส์
ซึ่งจะพบได้มากมายที่ทะเลสาบมินนีวอเตอร์ ในช่วงหน้าร้อน
สถานที่แห่งนี้มักจะถูกใช้จัดคอนเสิร์ตเป็นประจำ ส่วนหน้าหนาว
ทะเลสาบมินนีวอเตอร์จะกลายเป็นน้ำแข็ง และต้นไม้บริเวณนั้นก็จะถูกปกคลุมด้วยหิมะ
เป็นภาพที่งดงามตราตรึงในความทรงจำไม่รู้ลืมแน่นอน
กรุงบรัซเซลส์ คือ
เมืองหลวงของประเทศเบลเยียม เป็นส่วนหนึ่งของสหภาพยุโรป (EU) มีประชากรมากกว่า 2,000,000 คน
และเป็นเมืองเก่าแก่ที่มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์มากมาย
นอกจากนี้ยังเป็นที่โด่งดังในเรื่องของช็อกโกแลตและเบียร์ที่ดีที่สุดในโลก
แฟนพันธุ์แท้เรื่องช็อคโกแลตกับคอเบียร์ไม่ควรพลาด
เมืองทัวร์เน (Tournai) หรือในภาษาภาษาดัตช์ เรียกว่า Doornik เป็นเมืองที่เก่าแก่ที่สุดในประเทศเบลเยี่ยม
และมีบทบาทสำคัญทางประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมมากมาย ตั้งอยู่ในเขต Walloon อยู่ห่างจากกรุงบรัสเซลส์ไปทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ ประมาณ 85 กิโลเมตร
มหาวิหารโนเทรอดาม (Notre-Dame
Cathedral) เป็นสถานที่สำคัญของเมืองทัวร์เน
มีนักท่องเที่ยวแวะมาอย่างไม่ขาดสาย ถูกสร้างขึ้นในช่วงศตวรรษที่ 12 ตัวอาคารตรงกลางเป็นสถาปัตยกรรมแบบโรมาเนสก์
รายล้อมด้วยหอคอยขนาดใหญ่สไตล์โกธิคถึง 5 หลัง ภายในวิหารถูกตกแต่งด้วยกระจกสีเเบบโมเสกไว้อย่างสวยสดงดงาม
นอกจากนี้ยังมีภาพวาดโบราณและจิตรกรรมฝาผนังที่มีอายุถึง 700 ก็น่าสนใจไม่แพ้กัน
ในประเทศเบลเยียม
เราจะพบว่ามีหอระฆังเยอะมากกก เรียกได้ว่าเจอแทบทุกเมืองเลยก็ว่าได้ค่ะ
และแน่นนอนว่าไฮไลท์ของที่นี่อีกอย่างก็คงไม่พ้นหอระฆังอีกนั่นเอง
หอระฆังแห่งทัวร์เน (Belfry of Tournai) เป็นหอระฆังสูง 72 เมตร ที่เก่าแก่ที่สุดในประเทศเบลเยียม
จนได้รับการยกย่องเป็นมรดกโลกโดยยูเนสโก เมื่อขึ้นไปด้านบนสุดของหอระฆัง
สามารถมองเห็นวิวของเมืองทัวร์เนทั้งหมดได้อย่างชัดเจน
จึงทำให้ที่นี่กลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่นิยมมากที่สุดอีกที่หนึ่งเลยล่ะค่ะ
เกร็ดเล็กเกร็ดน้อยท่องเที่ยว ติดตาม💕
@tourandservice click https://line.me/R/ti/p/@tourandservice
M.O.TOURANDSERVICE CO.LTD www.tourandservice.com
license no.11/04924
incentive group tour,เที่ยวแบบครอบครัว เที่ยวเป็นคณะ private
ศูนย์รวมทัวร์ดีมีคุณภาพทั้งในและต่างประเทศ
sport day ,walk rally, car rally ,boat rally สัมนาพัฒนาองค์กร
คิดถึง tourandorganize คิดถึงความสุข นึกถึงเรา M.O.TOURANDSERVICE
☎️ 📞 Hotline 0851635888 0852415888 ☎️📞
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น